ในบทนี้จะได้เรียนรู้วิธีเพิ่มประสิทธิภาพของเนื้อหา เพื่อให้มีอันดับที่สูงขึ้นใน Google แล้ว On-Page SEO คืออะไร? (หรือ SEO บนเว็บไซต์) On-Page SEO หมายถึงการทำทุกสิ่งที่สามารถทำได้บนเพจ เพื่อปรับปรุงอันดับของหน้าเว็บไซต์ มุ่งเน้นที่การช่วยให้ Google และผู้ค้นหาเข้าใจและแยกแยะเนื้อหาของคุณได้ดีขึ้น
ทำไม On-Page SEO จึงมีความสำคัญ?
Google จะพิจารณาเนื้อหาของหน้าเว็บเพื่อดูว่าเป็นผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องหรือไม่ และหาก Google เห็นว่าเนื้อหาของคุณมีความเกี่ยวข้องน้อยกว่าคู่แข่ง เนื้อหาของคู่แข่งจะมีอันดับเหนือกว่าคุณ
วิธีทำ On-Page SEO
หากคุณเคยได้ยินว่า On-Page SEO คือการทำเกี่ยวกับการทำให้ keyword มีซ้ำๆหลายๆครั้งบนหน้าเพจ นั่นยังห่างไกลจากความจริง เพราะการมี keyword ซ้ำๆที่มากเกินไปจะส่งผลเสียต่ออันดับ มาดูวิธีที่มีประสิทธิภาพกันดีกว่า
สอดคล้องกับจุดประสงค์ในการค้นหา
จุดประสงค์ในการค้นหา หรือ Search intent คือเหตุผลเบื้องหลังการค้นหา การทำความเข้าใจจะบอกคุณว่าผู้ใช้กำลังมองหาอะไร และสิ่งที่คุณต้องการนำเสนอในเนื้อหาของคุณคืออะไร ซึ่งหากต้องการรู้ว่าจุดประสงค์ในการค้นหาคืออะไร ให้ดูที่ผลลัพธ์อันดับสูงสุดใน Google ดังนี้:
- ประเภทเนื้อหา – ประเภทเนื้อหาคืออะไร เป็นโพสต์บนบล็อก หน้าผลิตภัณฑ์ วิดีโอ หรืออย่างอื่น
- รูปแบบเนื้อหา – รูปแบบทั่วไป ได้แก่ คำแนะนำ วิธีการ โพสต์รายการ บทวิจารณ์ การเปรียบเทียบ ฯลฯ
- มุมมองของเนื้อหา – มีคำจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น “ดีที่สุด” “ถูกที่สุด” “สำหรับผู้เริ่มต้น” ฯลฯ หรือให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้ค้นหาให้ความสำคัญ
ตัวอย่างเช่น หน้าเว็บที่มีอันดับสูงสุดเกี่ยวกับ “เมล็ดอะโวคาโด” คือบล็อกโพสต์การปลูกเมล็ดพันธุ์ แบบนี้คือการใช้มุมมองของผู้ค้นหามือใหม่ที่กำลังมองหาคำแนะนำในการปลูกเมล็ดพันธุ์อะโวคาโด
ครอบคลุมหัวข้อต่างๆ
หากเนื้อหาครอบคลุมหัวข้อย่อยที่เกี่ยวข้อง ก็มีแนวโน้มที่จะตรงตามความคาดหวังของผู้ค้นหามากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถจัดอันดับ keyword ที่เกี่ยวข้องมากขึ้นและได้รับการเข้าชมมากขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ที่ที่ดีในการค้นหาสิ่งที่ผู้คนสนใจอยู่ที่หน้าอันดับสูงสุด
ทำให้เนื้อหามีเอกลักษณ์
หากคุณต้องการจัดอันดับ คุณไม่ควรปรับปรุงหน้าอื่นๆ เพียงอย่างเดียว คุณต้องนำสิ่งใหม่ๆมาสู่ SERP (หน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา) ด้วย สิ่งนี้จะเพิ่มโอกาสในการดึงดูดคลิกซึ่งจะช่วยอันดับเพจของคุณได้
วิธีทำให้เนื้อหามีเอกลักษณ์
- Original research – ความรู้ใหม่ ข้อมูลเชิงลึก หรือการค้นพบ
- มุมมองที่ไม่ซ้ำใคร – มุมมองใหม่ๆ ความท้าทายต่อการคิดแบบเดิมๆ ความคิดเห็นที่หนักแน่น ตัวอย่างเช่น เคล็ดลับ SEO จากผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในอุตสาหกรรมมายาวนาน หรือเคล็ดลับรวยก่อนอายุ 30
- แหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์และฟรี – ตัวอย่างเช่น เทมเพลต เอกสารสรุป ฯลฯ
สร้างลำดับชั้นโดยใช้แท็ก H1–H6
Header tags (H1, H2 ฯลฯ) ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาบนหน้าเว็บของคุณได้ง่าย นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาของคุณ และทำให้อ่านง่ายขึ้นอีกด้วย สำหรับแท็ก H1 แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดคือใช้ H1 หนึ่งที่ต่อหน้าหรือใช้กับชื่อหน้า สำหรับแท็ก H2 ถึง H6 ใช้สำหรับหัวข้อย่อยของเนื้อหาเท่านั้น
เขียนหัวข้อที่น่าสนใจ
หัวข้อเรื่องมักเป็นข้อมูลหลักที่ใช้ในการตัดสินใจว่าจะคลิกไหม นี่คือเหตุผลที่คุณต้องทำให้น่าสนใจ เคล็ดลับบางประการมีดังนี้:
- กำหนดให้สั้น – ควรต่ำกว่า 70 ตัวอักษร
- จุดประสงค์ในการค้นหา – บอกผู้ค้นหาว่าคุณมีสิ่งที่พวกเขาต้องการ
- สื่อความหมาย – อย่าตั้งหัวข้อคลุมเครือ
- อย่าคลิกเบต – ตรวจสอบให้แน่ใจว่าหัวข้อนั้นสอดคล้องกับเนื้อหาของคุณ
- มี keyword หลัก – ควรมี keyword หลักในหัวข้อ
- มีปี – สำหรับหัวข้อที่ต้องการความสดใหม่
เขียนคำอธิบายเมตาที่น่าสนใจ
คำอธิบายเมตาไม่ใช่ปัจจัยการจัดอันดับของ Google แต่สามารถเพิ่มจำนวนคลิกและการเข้าชมได้มากขึ้น เนื่องจาก Google มักใช้ข้อมูลเหล่านี้เป็นตัวอย่างข้อมูลในผลการค้นหา ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับในการเขียน:
- กำหนดให้สั้น – ต่ำกว่า 160 อักขระ
- ตรงกับจุดประสงค์ในการค้นหา – เขียนในสิ่งที่ผู้ค้นหาต้องการ
- ใช้ภาษาที่กระตือรือร้น – กล่าวถึงผู้ค้นหาโดยตรง
- มี keyword หลัก – Google มักจะใช้ keyword เป็นตัวหนาในการแสดงผลลัพธ์
ตั้งค่า URL
Google แนะนำให้ใช้คำที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาเวลาที่ต้องตั้งชื่อ URL อย่างไรก็ตาม หากโครงสร้าง URL มีคำบางคำจากคีย์เวิร์ดเป้าหมายอยู่แล้ว คุณสามารถทำให้ Slug สั้นลงได้ด้วยการตัดคำเชื่อมออกไป
เพิ่มประสิทธิภาพรูปภาพ
รูปภาพจากหน้าเว็บก็สามารถถูกจัดอันดับในการค้นหารูปภาพของ Google ได้ และส่งการเข้าชมมาที่เว็บของคุณได้ ซึ่งการปรับแต่งภาพให้เหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับการใช้ชื่อไฟล์ที่สื่อความหมาย Google กล่าวว่าชื่อไฟล์ให้เบาะแสเกี่ยวกับเนื้อหาของภาพ โดยควร:
- มีคำอธิบาย
- กระชับ
- ใช้ขีดกลางระหว่างคำ
On-Page SEO คือทุกสิ่งที่คุณสามารถทำได้บนเพจ เพื่อปรับปรุงอันดับและการมองเห็นของเพจ มันไม่ได้เกี่ยวกับการทำ keyword ซ้ำๆ เพราะนั่นอาจส่งผลเสียต่ออันดับของคุณ นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยเหลือ Google และผู้ค้นหาให้เข้าใจและแยกแยะเนื้อหาของคุณได้ดีขึ้น และหากเพจของคุณไม่อยู่ในอันดับที่ดี คุณก็สามารถปรับปรุงได้ตลอดเวลา